ท่าตูม แหล่งกำเนิดช้างสุรินทร์ |
||||||
ช้างสุรินทร์ มีลักษณะพิเศษ เป็นสัตว์เลี้ยงประจำบ้านใหญ่ที่สุด มีความใกล้ชิดและผูกพันกับ เจ้าของในฐานะ เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว ชาวสุรินทร์จะปฏิบัติต่อช้าง ไม่ต่างกับที่เขาปฏิบัติ ต่อคนอื่นในตรอบครัว เช่น เมื่อมีการให้กำเนิดลูกช้าง ชาวสุรินทร์จะเลี้ยงทำพิธี แกร์ คือ พิธีรับขวัญลูกช้างเชื่อกันว่าเป็นพิธีเก่าแก่กระทำกระทำครั้งแรกประมาณพุทธศตวรรษที่ 14 ที่มหาปราสาทเกาะแกร์ เมื่อช้างล้ม (ตาย) ทั้งเจ้าของและชาวบ้านจะร่วมกันทำพิธีฝังเมื่อครบ 3 เดือนจะขุดกระดูกขึ้นมาทำบุญอุทิศหา เช่น กับที่เขา ทำบุญอุทิศแก่ญาติผู้เสียชีวิตไป อำเภอท่าตูม
ถือได้ว่าเป็นแหล่งที่มีคน กูย หรือ ส่วย นิยมเลี้ยงช้างกันมาก และมีนำช้างมาชุมนุม
แสดงช้างครั้งแรก ก่อนที่จังหวัดจะนำไปจัดเป็นการแสดงของ จังหวัดสุรินทร์ในเวลาต่อมา
|
||||||
แหล่งที่นิยมทำการจับช้างมี
3 แห่ง คือ
บริเวณป่าดงดิบด้านเหนือของประเทศกัมพูชา
ในการสนทนากับคณะครูบากูยหรือปะกำหลวงที่บ้านตากลาง อำเภอท่าตูม เมื่อ พ.ศ. 2529 ท่านเหล่านั้นได้ผลัดกันเล่าอดีตเมื่อครั้งเดินทางเข้าไปจับช้างที่อุดงชัยคัร้งสุดท้ายเมื่อ พ.ศ. 2502 นี้เอง หลังจากจับช้างได้ถึง 3 ตัว ขณะเดินทางผ่านด่านเขมรเจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้ผ่านเพราะ เห็นว่าจับได้ช้างมากเว้นแต่จะยินยอมให้ช้าง 1 ตัว ท่านปะกำหลวงจึงสั่งให้สะดำ ผู้เป็นควาญลูกทีม นำช้างต่อเชือกหนึ่งไปมอบให้โดยไม่รีรอ เมื่อเดินทางพ้นด่านเข้ามาในเขตแดนไทย ท่านได้สั่งให้สะดำคนนั้นเป่าสะแนงเกล (เครื่องเป่าสัญญาณทำจากโคหรือกระบือ) เป็นสัญญาณเรียก ช้างต่อที่เชื่อง ๆ ถูกเจ้าหน้าที่เขมรดูแลอยู่ห่าง ๆ ก็สลัดเครื่องพันธการวิ่งตามหาเจ้าของทันที คณะอาจารย์ เหล่านั้น ได้ผลัดกันเล่าถึง ความหลังด้วยความสนุกสนาน เครื่องมือจับช้าง
1.หนังหรือเชือกปะกำ
เป็นบ่วงบาศทำด้วยหนังกระบือแห้ง เป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญ
ยิ่งยวดหนังปะกำจะผ่านพิธีเซ่นไหว้มาเป็นอย่างดี
ชาวกูย ถือว่าเป็นสิ่งสถิตขิงวิญญาณบรรพบุรุษ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เขาเคารพบูชา
ชาวกวยจะสร้างหอหรือศาลเก็บหนังปะกำให้แยกต่างหากจาก ตัวบ้านหรือสิ่งปลูกสร้างอื่น
ๆ มีการไหว้เป็นประจำทุกปี ห้ามล่วงเกินห้ามข้ามหรือเหยียบ ห้ามสตรีและผู้ไม่ใช่สายโลหิตแตะต้องหรือขึ้นไปบนหอหรือศาลนี้
ถ้าละเมิดเรียกว่า ผิดคะลำ หรือผิดครู หรือผิดปะกำ ถ้าเป็นเวลาอยู่กับบ้านอาจอาจทำให้คนใดคนหนึ่งเจ็บป่วย
ถ้าเป็นระยะออกจับช้างอาจเป็นบ้าสติหรือได้รับอันตรายจากช้างป่าลักษณะของหอหรือศาลปะกำจะสร้างคล้ายกับศาลปู่
ตา มีเสาสี่ต้น ยกพื้นสูงประมาณเมตร มีฝาและหลังคากันแดดและฝน นิยมสร้างไว้ด้านหน้าหรือตะวันออกของตัวบ้านเช่นเดียวกับคติการปลูกศาล
พระภูมิ ในศาลนอกจากจะเก็บหนังปะกำแล้วยังต้องมีเครื่องบัตรพลีต่าง ๆ ตามประเพณีนิยม
ที่ขาดเสียมิได้คือเหล้า ส่วนพิธีเซ่นอย่างเป็นกิจกรรมลักษณะและจริงจังจะมีเฉพาะฤดูออกโพน
คือก่อนออกเดินทาง
2.ทามคอ
เป็นเชือกหนังขนาดใหญ่ เตรียมไว้ใช้ผูกคอช้างป่า
ทำเป็นเงื่อนและบ่วงสำหรับสวมคอ มีทั้งที่ทำด้วยหนังหรือทราย ฟั่น 6 หรือ
8 เกลียวทามคอมี 2 เส้น หรือไม่ก็ทำเป็นบ่วงทั้งสอบปลายสำหรับผูกคอช้างป่าด้านหนึ่ง
และล่ามติดต้นไม้อีกด้านหนึ่งระหว่างเงื่อนหรือทาบจะเชือกร้อยไว้ขนาดพอดีกับคอช้าง
มีโซ่ติดกันด้วยกาหรั่นเพื่อกันมิให้ทามรัดคอช้างจนเป็นอันตราย
3.สลกหรือซะหลก
มีลักษณะคล้ายทามคอแต่ใช้กับช้างต่อผูกติดกับหนังปัะกำทำเป็นหนังฝั้น
3 เกลียว ปลายทั้งสองทำเป็นบ่วง
4.
ชนัก ทำด้วยเหล็กเส้นบิดเป็นเกลียว 3 ห่วง
ๆ ละ 2 ท่อน ลักษณะเหมือนบังเหียนม้า ใช้เชือกป่านหรือปอยาว 4 5 เมตร สอดในห่วงช่วงที่ต่อท่อนเกลียวเหล็กกับห่วงรับเชือก
ชายทั้งสองผู้กราบสวมคอช้างสำหรับให้หมอหรือคราญใช้หัวแม่เาสอดยึดไม่พลัดตก
ประโยชน์การใช้เช่นเดียวกับโกลนที่อานม้า
5.โยง
มีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ ทำด้วยหนังบิดเกลียว 2-3
เส้น สำหรับใช้ผูกติดช้างใช้โยงเข้ากับขาช้าง
6.สนามมุก
ทำด้วยหนังเย็บเป็นถุงหรือได้ใช้ใส่เสบียงและของใช้
7.ไม้คันจาม
เป็นไม้เนื้อแข็งมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1
1.5 นิ้ว ยาวประมาณ 5 เมตร ปลายด้านนอกสำหรับสอดเหน็บหนังปะกำหรือบ่วงบาศ
เพื่อคล้องเท้าช้างป่า
8.ไม้งก
เป็นไม้เนื้อแข็ง งอคล้ายฆ้อน ยาว 50 60
เซนติเมตร ปลายด้านหนึ่งเจาะรุเพื่อร้อยเชือกสำหรับผูกข้อมือควาญใช้ตีเท้าช้างเพื่อเร่งให่ช้างเดินหรือวิ่งเร็วขึ้น
9.กาหรั่นหรือเดื่อง
เป็นห่วงเหล็กทั้งขนาดเส้นและขนาดใหญ่ติดกัน มีเดือยสลักห่วงเล็กสอดกับรูบนขอบห่วงใหญ่
ปลายสลักเป็นแป้นกันหลุด ใช้เป็นตัวเชื่อม ระหว่างทามคอกับโซ่ ขณะล้มช้างป่าไว้กับต้นไม้
กาหรั่นหรือเดื่องจะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ทามคอรัดคอช้างป่าแน่นจนเกิดอันตราย
10.สะแนงเกล
ทำจากเขากระบือ ใช้เป่าให้สัญญาณขณะเดินทางอยู่ในป่า
โดยจะเป่าเพียง 3 โอกาสดังต่อไปนี้เท่านั้น คือ
10.1
เริ่มเดินออกทาง ก่อนพ้นหมู่บ้านสะดำหรือควาญแต่ละคนจะเป่าสะแนงเกลเป็นการอำลาบ้านและผีเรือน
10.2 ขณะอยู่ในป่าขณะออกทำการคล้องช้างไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน สะดำหรือควาญที่อยู่เฝ้าค่าย และที่ออกโพนจะเป่ารับกัน เพื่อป้องกันการพลัดหลง 10.3
ขณะออกจากป่าหลังเสร็จภาระกิจ ปะกำหลวงจะเป่าเป็นสัญญาณออกเดินทางกลับ
ขณะเดินทางกลับจวนจะถึงบ้าน บรรดาควาญทั้งหลายจะเป่าสแนงเกลเป็นสัญญาณออกไปถึงญาติมิตรว่าบัดนี้คณะผู้ออกโพนช้างได้เดินทางกลับมาแล้วโดยสวัสดิ์ภาพ
ก่อนออกโพน
เนื่องจากการออกจับช้างป่าเป็นงานเสี่ยงอันตรายทั้งจากโขลงช้างป่า ไข้ป่า การพลัดหลง ความอดอยากและภัยธรรมชาติอื่น ๆ กูยผู้ออกจับช้างจึงต้องอาศัยการปลุกหรือการสร้างขวัญและกำลังใจ กิจกรรมที่นิยมกระทำกันก่อนเดินทางคือดารขอพรจากผีปะกำซึ่งเชื่อว่าจะช่วยปกป้องคุ้มครองเข้าให้แคล้วคลาดจากภยันอันตรายจากสัตว์ป่า ผีป่า นางไม้และเจ้าป่า นอกจากนี้ยังเชื่อว่า อำนาจศักดิ์สิทธิ์ของหนังปะกำ เฉพาะอย่างยิ่งวิญญาณบรรพบุรุษซึ่งสิงอยู่ที่หนังปะกำ จะช่วยให้เขาประสบความสำเร็จในการออกจับช้างป่า เหนืออื่นใดหมด เป็นกุศโลบายการปกครองและการควบคุมการเดินทาง การตัดสินใจใดๆ ขณะการทำกิจกรรมในป่า ขณะเดินป่ากูย เหล่านี้จึงถือปฏิบัติตามแบบธรรมเนียม จารีตนิยมทั้งส่วนที่เป็นข้อห้ามและข้อพึงปฏิบัติอย่างเคร่งครัด อนึ่งเนื่องจากเนื่องจากอุบัติเหตุเภทภัยมักเกิดขึ้นอยู่บ่อยคัร้งขณะเดิดนทางและกำลังทำการจับช้างและมักเกิดความประมาณ เผลอเลอ ฝ่าฝืนข้อห้าม สิ่งเหล่านี้จะคอยเตือนให้บรรดาควาญทั้งหลายต้องคอยสังวรณ์อยู่เสมอ บรรดาสะดำ มะหรือจางจึงได้มีการมอบหมายหน้าที่และความรับผิดชอบกันดังนี้ 1.
มะหรือจามีหน้าที่เป็นผู้ช่วยควาญ เป็นผู้ถือท้ายคือเป็นท้ายช้าง คอยรับใช้ควาญหรือหมอใหญ่มะหรือจา
ต้องงดสูบบุหรีอย่างเด็ดขาดขณะอยู่บนหลังช้างหรือขณะประกอบพิธีกรรมห้ามกินขากินหัวและเครื่องในสัตว์
2.
หมอสะเดียงหรือสะเดียง เป็นผู้ชำนาญการควบคุมช้าง มีประสบการณ์การจับช้างมาแล้ว
รู้และเข้าใจภาษาป่า (ภาษาสะเดียง) สะเดียงจะขี่อยู่ที่คอช้างต่อถือปฏิบัติเช่นเดียวกับมะอย่างเคร่งครัด
3.
หมอสะดำ หน้าที่ครวญเรียกควาญเบื้องขวา(สะดำแปลว่าถนัดหรือชำนาญ)มีศักดิ์สูงกว่าสะเดียง
มีประสบการณ์โดยเคยออกจับช้างมาแล้วอย่างน้อย
11 เชือก บางที หมอใหญ่ ก็เรียก
กูย เป็นกลุ่มชนที่ยึดมั่นอยู่ในคตินิยมเชิงไสยศาสตร์อย่างเคร่งครัด เชื่อว่าถ้าเซ่นพลีถูกจะเป็นนิมิตหมายแห่งโชคลาภ และความปลอดภัย พิธีกรรมแรกที่นับเนื่องกับการออกจับช้างคือ พิธีเซ่นหนังปะกำหรือผีปะกำ หมอเฒ่าหรือหมอหลวง จะทำหน้าที่ประธาน มีสะดำ 3 คนคอยรับใช้ พิธีเริ่มขึ้นท่ามกลางควาญลูกทีมและญาติพี่น้อง
เครื่องบัตรพลีประกอบด้วย
ข้อถือปฏิบัติ (คะลำ)
พิธีสารภาพบาป
การไล่ต้อนและเข้าจับช้างป่า
ประเภทของช้าง ช้างเผือก
คตินิยมยกย่องช้างเผือกมีขึ้นในอินเดียฝ่ายเหนือก่อน
ลัทธิอินดูพราหมณ์สายนับถือพระอินทร์ถือว่า เอราวัณช้างเผือกพระที่นั่งของ
พระอินทร์เป็นเทพบุตรองค์หนึ่ง เมือใดพระอินทร์ประสงค์ จะเสร็จทางสถลมาร์ค
เทพองค์นี้ก็จะเนรมิตตนเป็นพญาช้างเผือก เพื่อให้พระอินทร์ประทับ เมื่อคตินิยมฮินดูพราหมณ์แพร่หลายเข้ามาในสุวรรณภูมิ
ความเคารพยกย่องช้างเผือก ก็แพร่หลายเข้ามาด้วย พุทธศาสนาก็ยกย่องช้างเผือกและยอมรับว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ
แม้ว่าแต่การเรียกพระพุทธ พระธรรม พระสงค์ เรียกว่ารัตนตรัย แปลว่าแก้วสามดวง
หรือสามประการโดยเลียนแบการเรียกขานมาจากคตินิยมพราหมณ์ว่าด้วยแก้วประเสร็ฐ
7 ประการนั่นเอง แม้แต่คัมภีร์พระสุตันตปีฎกก็ได้กล่าวถึงอดีตชาติของพระพุทธเจ้าว่า
เคยเกิดหรือ เสวยพระชาติเป็นพญาช้างเผือกมาก่อน ช้างเผือกเข้ามามีบทบาทในประวัติศาสตร์ไทยโดยมีหลักฐานอ้างอิงหลายสมัย
เช่น จารึกหลักที่หนึ่ง สมัยกรุงศรีสุโขทัยระบุว่า ช้างพระที่นั่งชื่อ
แสนพลพ่าย และพลาย รูจาลี ที่เสด็จทรงขณะออก ทำศึกกับเจ้าเมืองฉอด
และเชือกหลังใช้ทรงเมื่อจะเสด็จไปฟังเทศที่อรัญญิกนั้นก็เป็นช้างเผือก
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ได้รับการขนานพระนามด้วยความเทิดทูนว่าพระเจ้าช้างเผือก
ก็ด้วยเลื่องลือกันว่าทรงมีช้างเผือกในโรงช้างหลวงอยู่ถึง 7 เชือก พรายพระที่นั่งชื่อ
เจ้าพระยาไชยานุภาพ และ เจ้าพระยาปราบไตรจักร
ของพระสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และของสมเด็จพระอนุชาเอกาทศรถ ก็เป็นช้างเผือกเช่นกัน ช่างเผือกเป็นชื่อใช้เรียกช้าง
ที่มีสีผิวขาวอมชมพูแกมเทา คือมีสีผิวเหมือนกระบือเผือกช้างเผือกบางเชือก
แทบจะมีสีผิว เหมือนช้าง ทั่วไป แต่คชลักษณ์อื่นที่อยู่ในตระกูลช้างเผือกได้
นั่นคือความเป็นช้างมงคลหรือช้างสำคัญนั้น ยังมีลักษณะพิเศษอื่นๆ
นอกเหนือจากสีผิวด้วย
พระราชบัญญัติรักษาช้างป่าพุทธศักราช 2464 มาตรา 4 ระบุมงคลลักษณะไว้เจ็ดประการ สอดคล้องกับตำนานคชลักษณ์ คือ
1.1
ตระกูลอิศวรพงศ์
เป็นช้างที่พระอิศวรเจ้าทรงสร้างเป็นตระกูลช้างขัตติยะ คือเป็นราชันย์หรือเจ้าแห่งช้างทั้งหลาย ลักษณะเด่น ๆ คือ
ช้างเผือกในตระกูลนี้ยังจำแนกออกได้เป็น
8 หมู่ตามคชลักษณ์เฉพาะอีกด้วยเชื่อว่าช้างเผือก ตระกุลอิศวรพงศ์เป็นช้างมงคลจะหนุนส่งให้เป็นเจ้าของเจริญด้วยทรัพย์และอำนาจ
1.2 ตระกูลพรหมพงศ์ เป็นช้างที่พระพรหมเป็นผู้สร้างลักษณะ
ช้างเผือกตระกูลนี้ยังจำแนกได้เป็น 10 หมู่ เชื่อว่าเป็นช้างมลคลจะหนุนส่ง ให้เป็นเจ้าของ เจริญด้วยอายุ และวิทยาการ 1.3 ตระกูลพิษณุพงศ์ เป็นช้างพระนารายณ์ทรงสร้าง ลักษณะ
1. ผิวเนื้อหนา 1.4 ตระกูลอัศนีพงศ์
จำแนกได้เป็น
42 หมู่
เชื่อว่าเป็นช้างมงคลหนุนส่งใหผู้เป็นเจ้าของเจริญด้วยมัจฉมังวสาหาร (อาหารประเภทปลาและเนื้อ)
|
||||||